เมนู

[909] ผู้ใดได้มนต์ชั้นยอดแล้ว จักให้แก่ภรรยา
เพราะการให้นั้น ผู้นั้นจะสละตนทิ้งเสีย และ
เขาก็จักไม่มีภรรยาคนนั้น.
[910] ข้าแต่จอมนรชน ผู้เช่นกับด้วยพระองค์
ทรงทอดอาลัยตน ไม่คบหาของรักทั้งหลาย
ว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา ตนเท่านั้นประเสริฐ
กว่าสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่งทีเดียว ผู้มีตนสั่ง
สมบุญไว้แล้ว จะพึงได้หญิงที่รักในกายหลัง.

จบ ขุรปุตตชาดกที่ 1

อรรถกถาขุรปุตตวรรคที่ 2



อรรถกถาขุรปุตตชาดกที่ 1



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้ถูกภรรยาเก่าโลมเล้า จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สจฺจํ
กิเรวมาหํสุ
ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า จริงหรือภิกษุ
ได้ทราบว่าเธอกระสันอยากสึก เมื่อเธอทูลว่า จริงพระเจ้าข้า เมื่อถูก

ตรัสถามอีกว่า เธอกระสันอยากสึก เพราะเหตุอะไร ? เมื่อเธอทูลว่า
เพราะภรรยาเก่า พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนี้ทำสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์แก่เธอไม่เฉพาะในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เธอกำลัง
จะกระโดดเข้าไฟตายเพราะอาศัยหญิงนี้ แต่อาศัยบัณฑิตจึงได้ชีวิต
ไว้ดังนี้แล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระราชาทรงพระนามว่า เสนกะ ครอง-
ราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ให้พระองค์ทรงทำความ
เคารพ. ครั้งนั้น พระเจ้าเสนกะทรงมีความรักใคร่กับด้วยนาคราช
ตัวหนึ่ง. ได้ทราบว่า นาคราชนั้นออกจากนาคพิภพเที่ยวหาจับเหยื่อ
บนบกบิน. ครั้งนั้น เด็กชาวบ้านเห็นมันแล้ว บอกกันว่านี้งู แล้ว
พากันเอาก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นตี. พระราชาเสด็จสำราญที่พระ-
ราชอุทยาน ทรงเห็นแล้ว ตรัสถามว่า เด็กเหล่านั้นทำอะไรกัน ? ทรง
ทราบว่า พากันฆ่างูตัวหนึ่ง. จึงตรัสสั่งว่า พวกเอ็งอย่าฆ่า จงให้มัน
หนีไป แล้วทรงให้นาคราชนั้นหนีไปแล้ว. นาคราชได้ชีวิตแล้ว ได้
ไปยังนาคพิภพ ถือเอารัตนะมากมาย ครั้นเวลาเที่ยงคืน จึงเข้าไปยัง
พระที่นั่งสำหรับพระราชาบรรทม ทูลเกล้าถวายรัตนะเหล่านั้น แล้ว
ทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าอาศัยพระองค์แล้วได้ชีวิตมา แล้วได้ทำมิตรภาพ
กับพระราชา จึงไปเฝ้าพระราชาบ่อย ๆ. นาคราชนั้นได้ตั้งนาค-
มาณวิกานางหนึ่ง ผู้ไม่อิ่มในกามคุณ ในบรรดานางนาคมาณวิกา

ทั้งหลายของตนไว้ประจำราชสำนัก เพื่อประโยชน์แก่การรักษา. เขา
ทูลว่า เมื่อใดพระองค์ไม่ทรงเห็นนาคมาณวิกาคนนั้น เมื่อนั้นพระองค์
พึงทรงร่ายมนต์บทนี้ แล้วได้ถวายมนต์บทหนึ่งแด่พระองค์. อยู่มา
วันหนึ่ง พระองค์เสด็จพระราชอุทยาน ทรงเล่นน้ำในสระโบกขรณี
กับนางนาคมาณวิกา. นางนาคมาณวิกาเห็นงูน้ำตัวหนึ่ง จึงเปลี่ยนแปลง
อัตภาพเป็นงู เสพอสัทธรรมกับงูตัวนั้น. พระราชาเมื่อไม่ทรงเห็น
นาคมาณวิกานั้น ทรงสงสัยว่า เธอไปไหนหนอ จึงทรงร่ายมนต์
แล้วทรงเห็นนางกำลังทำอนาจาร จึงทรงตีด้วยซีกไม้ไผ่. นางโกรธ
จึงออกจากพระราชอุทยานนั้น ไปยังนาคพิภพ ถูกนาคราชถามว่า
เหตุไฉนเจ้าจึงมา ? ทูลว่า สหายของพระองค์ตีหลัง คือเฆี่ยน
หม่อมฉันผู้ไม่เชื่อถือถ้อยคำของตน แล้วแสดงการตีให้ดู. นาคราช
ไม่ทราบตามความจริงเลย จึงเรียกนาคมาณพ 4 ตนมา ส่งไปโดย
ดำรัสว่า สูเจ้าทั้งหลายจงไป จงพากันเข้าไปยังพระที่นั่งบรรทมของ
พระเจ้าเสนกะ แล้วทำลายพระที่นั่งนั้นให้เป็นเหมือนแกลบ ด้วยลม
จมูกการพ่นพิษนั่นเอง. นาคมาณพเหล่านั้นพากันไปแล้ว ได้เข้าไป
ยังห้องในเวลาที่พระราชาทรงบรรทมบนพระยี่ภู่ที่สง่างาม. ในเวลาที่
นาคมาณพเหล่านั้นเข้าไปนั่นเอง พระราชาได้ตรัสถามพระราชเทวีว่า
ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ เธอรู้ไหมที่ที่นางนาคมาณวิกาไป ? พระราช-
เทวีทูลว่า หม่อมฉันไม่รู้เพคะ. พระราชาตรัสว่า วันนี้นาคมาณวิกา

นั้นได้ละอัตภาพของตน แล้วทำอนาจารกับงูน้ำตัวหนึ่ง ในเวลา
เล่นน้ำในสระโบกขรณีของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้นฉัน จึงได้เอาซีกไม้ไผ่
ตีเขา เพื่อต้องการให้สำเนียกว่า เจ้าอย่าทำอย่างนี้. เขาไปยังนาคพิภพ
คงบอกอะไรอย่างอื่นแก่สหายของเรา แล้วทำลายมิตรภาพเสีย ภัยจัก
เกิดขึ้นแก่เรา. นาคมาณพทั้งหลายได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงพากันกลับ
ออกไปจากพระที่นั่งบรรทมนั้น แล้วไปยังนาคพิภพทูลเนื้อความนั้น
แก่นาคราช. ท้าวเธอถึงความสังเวช แล้วได้เสด็จมายังพระที่นั่งบรรทม
ของพระราชา ทูลให้ทราบเนื้อความนั้น ขอขมาพระองค์ แล้วได้
ถวายมนต์ ชื่อว่า สรรพรุตชนนะ คือมนต์รู้เสียงร้องของสัตว์ทุกชนิด
โดยมุ่งหมายว่า นี้เป็นทัณฑกรรมของเรา แล้วทูลว่า ข้าแต่มหาราช
มนต์นี้หาค่าบ่มิได้ ถ้าหากพระองค์จะได้ประทานมนต์นี้แก่ผู้อื่นไซร้
ครั้นทรงประทานแล้วต้องทรงกระโดดเข้ากองไฟสวรรคต. พระราชา
ทรงรับคำว่าดีแล้ว. ต่อแต่นั้นมา แม้เสียงมดแดงพระองค์ก็ทรงทราบ.
วันหนึ่งเมื่อพระองค์ประทับนั่งที่ท้องพระโรง เสวยของเคี้ยวจิ้มน้ำผึ้งน้ำ
อ้อย น้ำผึ้ง น้ำอ้อยหยดหนึ่งและขนมชิ้นหนึ่งตกลงที่พื้น. มดแดงตัวหนึ่ง
เห็นหยดน้ำผึ้งเป็นต้นนั้น เที่ยวร้องบอกกันว่า ถาดน้ำผึ้งของหลวง
แตกที่ท้องพระโรง หม้อน้ำอ้อย หม้อขนมคว่ำ ท่านทั้งหลายจงกิน
น้ำผึ้งน้ำอ้อยและขนม. พระราชาทรงสดับเสียงร้องบอกของมดแดงแล้ว
ทรงพระสรวล. พระราชเทวีประทับที่ใกล้เคียงพระราชา ทรงดำริว่า

พระราชาทรงเห็นอะไรหนอ จึงทรงพระสรวล ? เมื่อพระราชานั้น
เสวยของเคี้ยวทรงสรงสนานแล้ว ประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์
แมลงวันตัวผู้พูดกับแมลงวันตัวเมีย ตัวหนึ่งว่ามาเถิดน้องเอ๋ย พวกเรา
มาอภิรมย์กันด้วยความยินดีด้วยกิเลส. ลำดับนั้น แมลงวันตัวเมียพูด
กับแมลงวันตัวผู้นั้นว่า คอยก่อนเถอะพี่นาย นัดนี้ ราชบุตรจะนำ
ของหอมมาถวายพระราชา เมื่อพระองค์ทรงลูบไล้ผงของหอมจักตกลง
แทบบาทมูล ฉันจักร่อนกถาไป ณ ที่นั้นแล้วจะมีกลิ่นหอม ต่อจากนั้น
เราก็จักนอนอภิรมย์กัน เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระราชา. พระราชา
ทรงสดับเสียงแม้นั้นแล้ว ก็ทรงพระสรวล. ฝ่ายพระเทวีก็ทรงดำริอีก
ว่า พระราชาทรงเห็นอะไรหนอ จึงทรงพระสรวล เมื่อพระราชาทรง
เสวยพระกระยาหารเย็นอีก ภัตพิเศษก้อนหนึ่งหล่นที่พื้น. มดแดง
ทั้งหลายก็ร้องบอกกันว่า หม้อพระกระยาหารในราชตระกูลแตกแล้ว
ขอท่านทั้งหลายจงพากันไปรับประทานภัตตาหารเถิด. พระราชาครั้น
ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็ทรงพระสรวลอีก. ฝ่ายพระราชเทวี ทรงถือ
เอาช้อนทองอังคาสพระราชาอยู่ จึงทรงพระวิตกว่า พระราชาทรงเห็น
อะไรหนอ จึงทรงพระสรวล ? ในเวลาเสด็จขึ้นแท่นพระบรรทมกับ
พระราชา พระนางทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ทรงพระสรวล
เพราะเหตุอะไร ? พระองค์ตรัสว่า จะมีประโยชน์อะไรสำหรับเธอ
เพราะเหตุที่ฉันหัวเราะ แล้วถูกพระนางรบเร้าให้ตรัสบอกบ่อย ๆ.
ภายหลังจึงทูลพระองค์ว่า ขอพระองค์จงประทานมนต์ที่ทำให้รู้เสียง

สัตว์ของพระองค์แก่หม่อมฉัน แม้ถูกพระราชาทรงห้ามว่า ไม่อาจให้ได้
ก็ทรงรบเร้าบ่อย ๆ. พระราชาจึงตรัสว่า ถ้าหากฉันจักให้มนต์นี้แก่เธอ
ไซร้ ฉันก็จักตาย. พระนางทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถึงพระองค์จะ
สิ้นพระชนม์ ก็จงประทานแก่หม่อมฉัน. เพราะพระราชาเป็นผู้ชื่อว่า
ตกอยู่ในอำนาจมาตุคาม จึงทรงรับคำว่า ดีละ แล้วทรงตัดสินพระทัย
ว่า เราจักให้มนต์แต่พระราชเทวี แล้วจึงจะเข้ากองไฟ ดังนี้แล้วได้
เสด็จเข้าไปยังพระราชอุทยานด้วยราชรถ. ขณะนั้นท้าวสักกะทรงตรวจดู
สัตวโลกอยู่ ทรงเห็นเหตุการณ์นี้ แล้วทรงดำริว่า พระราชาเขลา
องค์นี้อาศัยมาตุคาม เสด็จไปด้วยหมายพระทัยว่า จักเข้ากองไฟ เรา
จักให้ชีวิตแก่เขา แล้วทรงพาเอาอสุรกัญญา ทรงพระนามว่า สุชา
มายังกรุงพาราณสี ทรงทำให้นางสุชาเป็นแพะตัวเมีย พระองค์เอง
เป็นแพะตัวผู้ แล้วทรงอธิษฐานว่า ขออย่าให้มหาชนเห็น แล้วได้อยู่
ข้างหน้าราชรถ. พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นแพะนั้น และม้าที่
เทียมรถก็เห็นด้วย. แต่ใครคนอื่นไม่เห็น. แพะตัวผู้ทำท่าจะเสพเมถุน
กับแพะตัวเมีย เพื่อจะสร้างเรื่องราวขึ้น. ม้าเทียมรถตัวหนึ่ง เห็นแพะ
นั้น จึงพูดว่า เจ้าเพื่อนแพะเอ๋ย เมื่อก่อนพวกเราได้ยินเขาเล่ากันว่า
พวกแพะโง่ ไม่มีความละอาย และไม่เห็นเรื่องนั้น แต่แกทำอนาจาร
ที่จะต้องทำในที่ลับ ซึ่งเป็นสถานที่ปกปิดต่อหน้าพวกเรามีจำนวนเท่านี้
ที่กำลังดูอยู่นั่นเอง แกไม่ละอาย คำที่พวกข้าพเจ้าได้ยินมาแต่ก่อนนั้น
สมกับเหตุการณ์ที่ได้เห็นอยู่นี้ แล้วได้กล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-

ได้ทราบว่า เป็นความจริงที่บัณฑิต
ทั้งหลายพูดถึงแพะโง่ว่าอย่างนี้ ดูเถิดสัตว์
ที่โง่ ไม่รู้จักธรรมที่ควรทำในที่ลับและกรรม
ที่ควรทำในที่แจ้ง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กลกํ ได้แก่ แพะ. บทว่า ปณฺฑิตา
ความว่า ผู้สมบูรณ์ด้วยญาณพูดถึงแพะนั้นว่าโง่ ได้ทราบว่าพูดจริง.
บทว่า ปสฺส เป็นคำเรียกเตือน ความหมายว่า จงดูเถิด. บทว่า
น พุชฺฌติ ความว่า ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นไม่ควร.
แพะได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
สหายเอ๋ย แกนั่นแหละโง่ ดูก่อนเจ้า
ลูกลาแกจงรู้ตัวเถิด แกถูกเชือกรัดคอไว้
มีริมฝีปากเบี้ยว มีเชือกมัดปากไว้ สหาย
เอ๋ย ความโง่แม้อย่างอื่นของแก คือ ที่แก
ถูกปลดจากแอกแล้ว แต่ไม่หนีไป สหาย
เอ๋ย พระเจ้าเสนกะที่แกลากไปนั่นแหละโง่
กว่าแก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตฺวํ นุ โข สมฺม ความว่า สหาย
สินธพเอ๋ย แกโง่กว่าฉันมาก. บทว่า ขุรปุตฺต ความว่า ได้ทราบว่า

ม้านั้นเป็นชาติของลา เพราะเหตุนั้น แพะจึงได้กล่าวกะม้านั้นอย่างนี้.
บทว่า วิชานหิ ความว่า แกจงรู้เถิดว่า เรานั่นแหละโง่. บทว่า
ปริกฺขิตฺโต ความว่า แกถูกเขาเอาเชือกรัตคอไว้กับแอก. บทว่า
วงฺโกฏฺโฐ ได้แก่ มีริมฝีปากเบี้ยว. บทว่า โอหิโตมุโข ได้แก่ มีปาก
ถูกเชือกมัดปากปิดไว้. บทว่า มุตฺโต น ปลายสิ ความว่า การที่เจ้า
พ้นจากรถ แล้วหนี้เข้าป่าไปไม่ได้ ในเวลาพ้นแล้วไม่หนีไปเป็นคนโง่
แม้อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า โส จ พาลตโร ความว่า พระเจ้าเสนกะ
ผู้ที่แกลากไปนั้น โง่กว่าแกอีก
พระราชาทรงเข้าพระทัยถ้อยคำของสัตว์ทั้ง 2 ตัวนั้น เพราะ
ฉะนั้น เมื่อทรงสดับคำนั้น จึงทรงให้ขับรถไปค่อย ๆ. ฝ่ายม้าสินธพ
ได้ฟังคำของแพะแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ 4 ว่า :-
สหายอชราชเอ๋ย ข้าโง่ด้วยเหตุใดหนอ
เหตุนั้นแกก็รู้ แต่พระเจ้าเสนกะโง่ เพราะ
เหตุใด แถถูกข้าถามแล้ว จงบอกเหตุนั้น
แก่ข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ เป็นปฐมาวิภัติใช้ในความหมาย
ของตติยาวิภัติ. บทว่า นุ เป็นนิบาต ใช้ในความหมายว่าตามฟัง.
มีคำอธิบายไว้ว่า ดูก่อนสหายอชราช ก่อนอื่นฉันโง่ เพราะเหตุ คือ

ความเป็นสัตว์เดียรัจฉานอันใด แกรู้เหตุอันนั้น ข้อนี้แกอาจรู้ได้1
เพราะว่าฉันเป็นผู้โง่เขลา เพราะเป็นสัตว์เดียรัจฉานนั่นเอง เพราะ
ฉะนั้น แกเมื่อกล่าวว่า ลูกลาเป็นต้นกะฉัน ก็ชื่อว่ากล่าวดีถูกต้อง
แต่พระเจ้าเสนกะนี้โง่ เพราะเหตุอะไร ? แกถูกข้าถามแล้ว จงบอก
ข้อนั้นแก่ข้า ดังนี้.
แพะเมื่อจะบอกเหตุนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 5 ว่า :-
ผู้ใดได้มนต์ชั้นยอดแล้วจักให้แก่ภรรยา
เพราะการให้นั้น ผู้นั้นจะสละตนทิ้งเสีย และ
เขาก็จักไม่มีภรรยานั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺตมตฺถํ ได้แก่ มนต์เป็นเหตุ
รู้เสียงร้องของสัตว์ทุกชนิด. บทว่า เตน ความว่า เพราะเหตุ กล่าวคือ
การให้มนต์แก่ภรรยานั้น เขาครั้นให้มนต์นั้นแล้ว ก็จักสละตนทิ้งกระ-
โดดเข้ากองไฟ เขาก็จักไม่มีภรรยาคนนั้นเลย เพราะฉะนั้น ผู้นั้นคือ
พระเจ้าเสนกะผู้ไม่สามารถรักษายศที่ได้แล้วไว้ได้ จึงเป็นผู้โง่กว่าแก
ดังนี้.
พระราชา ครั้นทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า อชราชเอ๋ย
ก็เจ้าแม้เมื่อจะทำความสวัสดีแก่เรา จักทำสิ่งนั้น ก่อนอื่นขอเจ้าจงบอก
1. ปาฐะว่า เยน ตาว ติรจฺฉานคโต ภทฺเรน การเณน อหํ พาโล ตํ ตวํ.

สิ่งที่ควรแก่สิ่งที่จะต้องทำแก่เรา. ครั้งนั้น อชราชจึงทูลกะพระราชา
นั้นว่า ข้าแต่มหาราชไม่มีผู้อื่นที่ชื่อว่า เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลาย
เหล่านี้ยิ่งกว่าตน. คนไม่ควรให้ตนพินาศ ไม่ควรละทิ้งยศที่ได้แล้ว
เพราะอาศัยของรักอย่างเดียวดังนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาที่ 6 ว่า :-
ข้าแต่จอมนรชน ผู้เช่นนับด้วยพระองค์
ทรงทอดอาลัยตน ไม่คบหาของรักทั้งหลายว่า
สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา ตนเท่านั้นประเสริฐกว่า
สิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่งทีเดียว ผู้มีตนสั่งสม
บุญไว้แล้ว จะพึงได้หญิงที่รักในภายหลัง.

พึงทราบวินิจฉัยในบทเหล่านั้นต่อไป บทว่า ปิยมฺเม ตัดบท
เป็น ปิยํ เม คือเป็นที่รักของเรา ปาฐะเป็นอย่างนี้ทีเดียวก็มี. มีคำ
อธิบายว่า ข้าแต่จอมนรชนบุคคลผู้ดำรงอยู่ในความยิ่งใหญ่ด้วย เช่น
พระองค์ ทอดอาลัยตน คือทอดทิ้งตน ไม่คบหาของรักเหล่านั้นเลยว่า
สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา เพราะอาศัยหญิงที่เป็นภัณฑะที่รักคนหนึ่ง.
เพราะเหตุไร ? เพราะตนเองประเสริฐกว่าคนที่ประเสริฐอย่างยอด
อธิบายว่า เพราะเหตุที่ตนเองประเสริฐ คือล้ำเลิศ ได้แก่สูงสุดกว่า
สิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่ง คือเป็นภัณฑะเป็นที่รักกว่าอย่างอื่น ที่ยอดเยี่ยม
คือสูงสุด โดยการคูณด้วยร้อย คูณด้วยพัน. จริงอยู่ แม้ อักษร
ในคำว่า อตฺตาว นี้ พึงเห็นว่า เป็นนิบาตใช้ในความหมายว่าเหตุ.

บทว่า ลพฺภา ปิยา โอจิตตฺเตน ปจฺฉา ความว่า เพราะว่าธรรมดา
ว่าบุรุษผู้มีตนสั่งสมบุญไว้แล้ว คือมีตนเจริญแล้วอาจได้หญิงที่รักใน
ภายหลัง บุคคลไม่ควรให้ตนฉิบหายไป เพราะเหตุแห่งหญิงที่รักนั้น
ดังนี้.
พระมหาสัตว์ได้ถวายโอวาทแด่พระราชา ด้วยประการอย่างนี้.
พระราชาทรงพอพระทัย แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนอชราช ท่านมาจาก
ที่ไหน ?.
ท้าวสักกะตรัสตอบว่า ข้าแต่มหาราช เราคือท้าวสักกะมาด้วย
ความอนุเคราะห์ท่าน เพื่อจะปลดเปลื้องท่านจากความตาย.
รา. ข้าแต่เทวราช ข้าพระองค์ได้ลั่นวาจาออกไปแล้วว่า ข้า-
พระองค์จักให้มนต์แก่พระเทวี บัดนี้ ข้าพระองค์จะกระทำอย่างไร ?
สัก. ดูก่อนมหาราช ภารกิจด้วยความพินาศจะไม่มีแก่ท่าน
ทั้ง 2 ถ้าท่านกล่าวว่า อุปจารแห่งศิลปะมีอยู่ แล้วให้คนคนหนึ่ง
เฆี่ยนพระราชเทวี 2 - 3 ครั้ง ด้วยอุบายนี้ นางจักไม่เรียน. พระราชา
ทรงรับเทพดำรัสว่า ดีแล้ว. พระมหาสัตว์ถวายโอวาทพระราชาแล้ว
ได้เสด็จไปยังสถานที่ของพระองค์นั่นเอง. พระราชาเสด็จไปถึงพระ-
ราชอุทยานแล้ว ตรัสสั่งให้หาพระราชเทวีมา แล้วตรัสถามว่า น้อง
นางเอ๋ย เธอจักเรียนมนต์หรือ. พระนางทูลว่า เพคะ ข้าแต่สมมติ
เทพ.

รา. ถ้ากระนั้น เราจะทำอุปจาระแห่งศิลปะ.
เท. อุปจาระเป็นอย่างไร ?
รา. เมื่อเฆี่ยนที่หลัง 100 ครั้ง เธอไม่ควรส่งเสียงร้อง.
พระนางทรงรับพระราชดำรัสว่า สาธุ เพราะอยากได้มนต์.
พระราชาตรัสสั่งให้เรียกเจ้าหน้าที่ฆ่าโจร คือเพชฌฆาตมาแล้ว
ให้รับเอาหวายไปเฆี่ยนทั้ง 2 ข้าง. พระนางทรงทนทานการเฆี่ยน
2 - 3 ครั้งได้ ต่อจากนั้นไป ทรงร้องว่า หม่อมฉันไม่ต้องการมนต์.
ครั้งนั้นพระราชา จึงตรัสกะพระนางว่า เธอประสงค์จะเรียนมนต์
โดยให้ฉันตายไป แล้วทรงให้ถลกหนังที่พระขนองทิ้งออกไป. จำเดิม
แต่นั้นมา พระนางไม่อาจกราบทูลอีก.
พระราชา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศ
สัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประมวลชาดกลงไว้. ในที่สุดแห่งสัจธรรม
ภิกษุผู้กระสันอยากสึก ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. พระราชาในครั้ง
นั้น ได้เป็นภิกษุผู้กระสันอยากสึกในบัดนี้ พระราชเทวีเป็นภรรยาเก่า
ของภิกษุนั้น ม้าเป็นพระสารีบุตร ส่วนท้าวสักกเทวราชเป็นเราตถาคต
นั่นเอง ดังนี้แล.
จบ อรรถกถาขุรปุตตชาดกที่ 1

2. สูจิชาดก



ว่าด้วยเห็น



[911] ใครต้องการซื้อเข็มที่ไม่ขรุขระ. ไม่หยาบ
ขัดด้วยหินแข็ง มีรูสำหรับร้อยด้ายดี ทั้งเล่ม
เล็ก ทั้งปลายคม.
[912] ใครต้องการซื้อเข็มที่ขัดดีแล้ว มีรูร้อย
ด้ายเรียบร้อย ที่ให้เป็นไปดีแล้วตามลำดับ ที่
กัดทั่งทะลุและแข็งแกร่ง.
[913] เดี๋ยวนี้ เข็มและเบ็ดทั้งหลายเป็นสินค้า
ออกไปจากบ้านนี้ นี้ใครต้องการขายเข็ม ใน
หมู่บ้านช่างเหล็ก ?
[914] ศัสตราทั้งหลายไปจากหมู่บ้านนี้. การ
งานมากอย่างต่าง ๆ ชนิด เป็นไปในหมู่บ้านนี้
นี้ใครควรจะขายเข็มในหมู่บ้านช่างเหล็ก.
[915] ผู้ฉลาดจะต้องขายเข็มในหมู่บ้านช่าง-
เหล็ก อาจารย์ช่างทั้งหลาย จึงจะเข้าใจงาน
ว่าทำดีหรือไม่ดี.